Risk Management คือ อะไร แล้วทำไมถึงสำคัญต่อเทรดเดอร์

Risk Management คือ หนึ่งในกระบวนการที่ทุกๆสายอาชีพนั้นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะ กลุ่มเทรดเดอร์ หรือ นักลงทุน

การเทรดในตลาดทางการเงินนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงก็จริงอย่างที่เรารู้ๆกัน แต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่น่ากลัวด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่หรือมืออาชีพที่มีประสบการณ์มาแล้ว การเข้าใจและนำเอากลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เป็นสิ่งสำคัญในการที่เทรดเดอร์จะประสบความสำเร็จระยะยาวของคุณ 

การจัดการความเสี่ยงในการเทรดเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการระบุและประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อการเทรดแต่ละไม้ หรือต่อพอร์ตการลงทุน การนำเอากลยุทธ์มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้น จุดมุ่งหมายหลักของการจัดการความเสี่ยงคือการป้องกันทุนและป้องกันการขาดทุนอย่างมากที่ไม่ได้คาดไว้ตั้งแต่แรกซึ่งอาจทำให้พอร์ตถูกล้าง (Force Sell) อย่างไม่ทันตั้งตัว จึงเป็นที่มาว่าทำไม Risk Management คือ สิ่งที่สำคัญมากๆสำหรับกลุ่มนักลงทุนและเทรดเดอร์

ใช้ Risk Management อย่างไร ให้ไม่เสียหายหนัก

1) กำหนดจุดขาดทุน หรือ จำนวนเงินที่เสียได้สูงสุดที่รับได้

ก่อนที่จะเริ่มเทรด คุณต้องกำหนดจุดเสียหายสูงสุดของพอร์ตหรือของไม้ที่จะเทรดเลย ว่าคุณเสียหายสูงสุดได้เท่าไหร่ พูดง่ายๆ ถ้าจะเข้ามาในตลาดทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท จะยอมเจ๊งสุดๆเท่าไหร่ถึงจะพอ ดังนั้น สมมติถ้าจะยอมเจ๊ง 3 แสนบาท ก็ต้องมาดูต่ออีกว่า ในการเทรดแต่ละที จะวางเงินอย่างไร แพ้ได้กี่ครั้งเงินถึงจะหมด 3 แสน เมื่อเข้าใจว่าจะเสียได้เท่าไหร่ จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนในการเทรดได้ชัดเจนมากขึ้น รวมไปถึงการตั้ง stop-loss และ take-profit ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

2) ตั้ง Stop Loss เพื่อ Risk Management

เมื่อเข้าใจว่าเสียได้เท่าไหร่ เทรดเดอร์จำเป็นที่จะต้องยอมแพ้ให้เป็นในเวลาที่ตลาดไม่ได้เป็นไปในทางที่คาดใหม่ การรู้ว่าจะยอมแพ้ตรงไหน จะช่วยป้องกันการล้างพอร์ตได้ เพราะเป็นการฝืนโดยที่ไม่รู้ว่าจะถูกทางหรือเปล่า นอกจากนี้การสร้างแผนเทรดที่มี Stop Loss ยังช่วยลดความรู้สึกกลัว และ โลภที่มักจะเกิดขึ้นเวลาที่เราเข้า Position ไปแล้วอีกด้วย ซึ่งพอมีอารมณ์เข้ามา ก็จะเป็นไปได้ที่เราจะตัดสินใจโดยมีเหตุผลน้อยลง

3) กำหนด Position Sizing และ RRR

การกำหนด Position Sizing เป็นหนึ่งในเทคนิคการจัดการความเสี่ยงที่จะคำนึงถึงเงินที่มีในพอร์ตและความเสี่ยงสูงสุดที่พอร์ตสามารถรับได้ โดยเทรดเดอร์สามารถจำกัดความเสี่ยงให้น้อยลงได้โดยการจัดสัดส่วนเงินในบัญชีให้เป็นสัดส่วนที่เป็นไปตาม RRR ต่อการเทรดแต่ละครั้ง ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น มีเงิน 1 แสนบาท จะเข้ามาเล่นหุ้นแบบ Day-Trade โดยยอมตัดขาดทุน 3 หมื่นบาทต่อวัน จะไม่ยอมเสียไปมากกว่านี้ต่อวัน ดังนั้น เทรดเดอร์ก็ต้องคิดต่อว่า หากเทรดไม้ละแสน แล้วแพ้ติดต่อกัน 3 วันติด แปลว่าจากเงินทุน 1 แสนนั้น ในวันที่ 3 เงินจะหายไปถึง 9 หมื่นบาท ดังนั้น ในการเทรด เราจึงต้องคิดต่อว่า เราจะต้องวางเงินเช่นไร แบ่งเป็นกี่ไม้เพื่อที่จะไม่รักษาเงินต้นหมดไปเสียก่อน ก่อนที่จะทำกำไรได้ 

อ่านวิธีการคำนวณ RRR ได้ที่ Here

4) กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

กระจายความเสี่ยงในในสินทรัพย์ที่แตกต่างกันหรืออุตสาหกรรมที่แต่งต่างกันเพื่อป้องกันความเสียหายหนักในเวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น ในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา ประเทศต้อง Lock Down และผู้คนไม่สามารถท่องเที่ยวได้ หากเงินอยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ​100% แบบไม่ตัดขาดทุน พอร์ตก็จะเสียหายหนักมาก ในขณะเดียวกันก็ยังมีอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้น เช่น อุตสาหกรรมการเดินเรือ อุตสาหกรรมผลิต Chip เป็นต้น ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงจะช่วยให้คุณสามารถลดผลกระทบจากการเทรดหรือเหตุการณ์ต่างๆที่จะส่งผลต่อพอร์ตโดยรวมของคุณได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

5) ติดตามข่าวสารและอัพเดตความรู้ เพื่อ Risk Management อยู่เสมอ

การติดตามอัพเดตความรู้ในการเทรด เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ และแนวโน้มของตลาด หรือแม้แต่ติดตามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเป็นส่วนสำคัญของการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การที่คุณมีข้อมูลที่ Up-to-date ยังช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดและหลีกเลี่ยงการรับความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

สรุป

การจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จระยะยาวได้ เทรดเดอร์จะต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้และเลือกใช้เครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น คำสั่ง stop-loss, การวาง Position Sizing, การจัด RRR และการกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้ เทรดเดอร์ควรคอยปรับกลยุทธ์อยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนไปตาม Sentiment ของตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาวในตลาดได้