การเทรด เป็นที่ได้รับความนิยมขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเพราะเข้าถึงได้ง่าย โดยแค่มีอินเตอร์กับมือถือหรือคอมพิวเตอร์แค่เครื่องเดียวก็เริ่มเทรดได้แล้ว และหากเทรดในสินค้าประเภท CFD ยิ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าสินค้าประเภทอื่น เพราะนอกจากจะใช้เงินไม่เยอะในการเริ่มต้นในการเทรด ยังมีโบรกมากมายให้เลือกใช้งาน และยังสามารถเทรดได้ในหลายๆตลาดทั้ง Forex Crypto พลังงาน หรือแม้แต่หุ้น อย่างไรก็ตาม การเทรดนั้นเป็นเรื่องซับซ้อนและมีความเสี่ยง ดังนั้นมือใหม่ที่จะเริ่มเข้ามาเทรด จำเป็นอย่างมากที่จะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องให้ถี่ถ้วนเพื่อที่จะได้ควบคุมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ChartTrail ได้รวบรวม Checklist 7 ข้อที่สำคัญที่ต้องรู้ใน การเทรด ให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวที่ห้ามขาดเลยแม้แต่ข้อเดียว
1) เข้าใจกลการทำงานของสินค้าที่เทรด
ก่อนอื่น นักลงทุนต้องเข้าใจสินค้าที่จะเทรดก่อน ว่าคืออะไร กลไกการทำงานของสินค้านั้น เป็นอย่างไร โดย ChartTrail จะโฟกัสที่ อนุพันธ์ (Derivertive) อย่าง CFDs และ Futures ซึ่งกลไกลการทำงานจะไม่เหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้น
Futures – การซื้อขาย Futures นั้นเป็นการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าในราคาที่ตกลงกันไว้ สัญญาเหล่านี้มีมาตรฐานและซื้อขายบนตลาดที่ได้รับการควบคุม เช่น ตลาดหลักทรัพย์ Chicago Mercantile Exchange หรือ CME โดยสัญญา Futures มักจะมีวันหมดอายุที่กำหนด และต้องชำระเงินเพื่อเป็นการส่งมอบสินทรัพย์นั้น ในขณะที่การซื้อขาย CFDs หรือ Contract for Difference เป็นการซื้อขายสัญญาโดยอิงจากการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ในตลาด โดย CFDs จะซื้อขายผ่าน Broker ที่จดทะเบียน และไม่มีสัญญาที่มีวันหมดอายุที่กำหนดอย่าง Futures
ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างระหว่าง Futures และ CFDs อยู่บ้างอย่างเช่น Leverage และเงินเริ่มต้นในการเทรด (Margin Requirement) สิ่งที่เหมือนกันสำหรับสอง Products นี้ที่ต้องทราบคือ Futures และ CFDs เทรดเพื่อทำกำไรจากการที่ราคาผันผวนเท่านั้น เทรดเดอร์ไม่ได้ครอบครอง หรือ เป็นผู้ถือหุ้นของสินค้านั้นจริงๆเหมือนการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อหุ้นของบริษัท Tesla – Symbol:TSLA ที่เทรดอยู่บน NASDAQ Stock Exchange นั่นแปลว่าคุณถือหุ้นของบริษัท Tesla มีสิทธิ์ได้รับปันผล หรือเข้าประชุมผู้ถือหุ้น ในขณะที่หากคุณเทรด TSLA บนตลาด CFD คุณจะไม่มีสิทธิ์ดังกล่าว สิ่งจะคุณจะได้ก็คือกำไรจากผลต่างในราคาที่คุณเข้าซื้อหรือขายคุณนั้น ในขณะเดียวกัน หากราคาเคลื่อนที่ไปคนละทางที่คุณมีออเดอร์ และเคลื่อนที่ไปจน Margin ในบัญชีไม่พอในการรักษาสถานะ(Position) คุณจะถูกบังคับปิดสถานะ (Position)ที่ถืออยู่ทันที หรือพอร์ตแตกนั่นเอง ซึ่งต่างจากการซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วไป ที่แม้ว่าราคาจะวิ่งลง แต่ “ไม่ขาย ก็ไม่ขาดทุน”
กล่าวง่ายๆก็คือการเทรดนั้น เริ่มต้นง่าย โดยเฉพาะหากเทรดในตลาด CFD เพราะใช้เงินเริ่มต้นต่ำ แต่สินค้า Derivative ก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน เพราะเล่นได้ทั้งในตลาดขาขึ้น และในตลาดขาลง แล้วก็สามารเงินหมดพอร์ตแบบไม่รู้ตัวได้ หากไม่วางแผนให้รอบคอบ ดังนั้นคุณควรศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนทำการตัดสินใจลงทุนสินค้าใด
ศึกษากลไกการทำงานของ CFD เพิ่มเติมได้ที Here
2) กำหนดเป้าหมายและสไตล์ การเทรด ที่เหมาะสมกับตัวเอง
หลังจากเข้าใจในตัว Product ที่จะเทรดแล้ว ลำดับต่อมาเป็นการกำหนดเป้าหมายในการเทรดที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด
2.1) เป้าหมายใน การเทรด
เทรดเดอร์ควรตั้งเป้าว่าจะเทรดเพื่ออะไร ต้องการเงินเท่าไหร่ต่อวัน ต่อเดือน หรือหากจะรันเทรน จะทนการ Drawdown ของพอร์ตได้กี่เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์บางคนอาจจะตั้งเป้าขั้นต้นว่า ต้องเทรดให้ได้วันละ 1,000 บาท แต่ในความเป็นจริง สภาวะตลาดอาจไม่เอื้อให้ทำกำไรได้ทุกวัน ดังนั้นจึงต้องวางแผนให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันตัวเองจนเกินไป เพราะการที่มีแผนบังคับให้ทำกำไรทุกวันนั้น อาจนำไปสู่การ Overtrade เข้าในจังหวะที่ไม่ดีหรือไม่มั่นใจ และนำไปสู่ความเสียหายของพอร์ตได้ในที่สุด
2.2) สไตล์การเทรดที่เหมาะสมกับตัวเอง
คุณต้องมีสไตล์การเทรด และ Timeframe ที่ชัดเจน ที่เหมาะสมกับตัวคุณที่สุดในการถือ Position แล้วสบายใจ เช่น
- Scalper
- Day-Trade
- Swing-Trade
- Run-Trend
- เล่นชนข่าวหรืออิง Fundamental
ยกตัวอย่างเช่น นาย A ชอบเล่นทองแบบ Scalper โดยนำ Price Pattern เข้ามาจับหาจุดซื้อหรือขายใน Timeframe สั้นๆอย่าง M5 หรือ 5 นาที เพราะนาย A ชอบสไตล์เล่นสั้น เข้าออกจบในวันเดียว และไม่ต้องรับความเสี่ยงในการถือ Position ข้ามวัน แต่ยินดีรับความเสี่ยงจากการเหวี่ยงของราคาใน Timeframe ที่เล็กกว่า
ในขณะที่นาย B เป็นพนักงานประจำ ไม่มีเวลาเฝ้าจอ ก็จะเล่นโดยใช้ EMA 12 กับ EMA 26 ตัดกันใน Timeframe สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอและออกออเดอร์บ่อยๆเหมือนนาย A ในขณะเดียวกัน นาย B เข้าใจดีกว่า การเล่นใน TimeFrame ที่ใหญ่กว่านั้น จะเข้าหรือออกออเดอร์ช้ากว่า และมีจุด Stoploss ที่ลึกกว่าคนที่เล่นใน TimeFrame ที่เล็กกว่า
3) วางแผน การเทรด
3.1) วางแผนคู่เทรด (Instrument/Symbol)
คุณจำเป็นจะต้องทราบว่าจะเทรด Instrument ใด อาจจะเป็นคู่เงิน คริปโต หรือทองคำ สาเหตุที่คุณจำเป็นที่จะต้องทราบ เพราะว่าในการเข้าซื้อขายคู่เทรด (Instrument/Symbol)แต่ละประเภทนั้น ตลาดของแต่ละสินทรัพย์ จะมีเวลาเปิดปิดไม่ตรงกัน อีกสาเหตุที่คุณต้องรู้คือ การคำนวณ Position Sizing ในตลาด CFD ของแต่ละ คู่เทรด (Instrument/Symbol)นั้นก็ไม่ตรงกัน ยกตัวอย่าง หากเทรดทอง ก็จำเป็นต้องรู้ว่าทองเปิดปิดวันไหน มีเวลาพักตอนไหน ในช่วงไหนจะมีข่าวที่กระทบต่อสินค้าทองคำ และ Contract Size เท่าไหร่ เพื่อคำนวณความเสี่ยงในการออกออเดอร์ให้เหมาะสมกับสัดส่วนที่ไม่อันตรายต่อพอร์ต
3.2) กำหนดจุดเข้าและจุดออกที่ชัดเจน
คุณจำเป็นต้องวางแผนจุดเข้าและจุดออกอย่างชัดเจนก่อนเข้าเทรด ซึ่งแผนของแต่ละคนก็จะต่างกันไป แม้ว่าจะมองสินค้าประเภทเดียวกันในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างอย่างรูปประกอบด้านล่าง เป็นสินค้า BTCUSDT หากเป็นสาย Price Pattern ก็ตีเส้นเทรนออกมาเป็น Symmetical Triangle และในภาพ ก็สามารถมองเป็นการเก็งกำไรได้ทั้งขา Buy – เล่น Breakout หรือ Sell – เล่นในกรอบและลุ้นให้หลุดกรอบล่าง
มุมมองการเทรดขา Buy ต้องกำหนดว่าจะเข้าและออกที่ตรงไหน เช่น ถ้าราคาเบรกเส้นกดเมื่อไหร่ ก็จะเข้า Buy ในราคาที่ยืนเหนือเส้นกดประมาณ 29440 และขอ Take Profit ที่หัวเก่าที่ราคา 31000 เป็นต้น
มุมมองการเทรดขา Sell เนื่องจากจะเล่นอยู่ในกรอบ และไม่คิดว่า BTC จะเบรกออกไปได้ จึงจะเข้า Position Sell ที่ราคาประมาณ 29100 และลุ้นให้หลุดกรอบลงมา และจุด Take Profit คือ Low ก่อนหน้าที่เคยทำไว้ที่ราคาประมาณ 27640
จากตัวอย่างด้านบน จะเห็นได้ว่า แม้ในกราฟเดียวกัน TimeFrame เดียวกัน สินค้าเดียวกัน เทรดสไตล์เดียวกัน ก็สามารถมีแผนการเทรดที่แตกต่างกันได้ ดังนั้นหากเข้าใจในข้อ 2 แล้วว่าตัวคุณชอบการเทรดสไตล์แบบไหน ก็จะช่วยให้คุณกำหนดจุดเข้าจุดออกได้อย่างชัดเจนโดยมีเหตุผลมารองรับในการเข้า Buy หรือ Sell สินค้านั้นๆและกล้าที่จะถือ Position ตามแผนที่วางไว้ได้
3.3) วางกลยุทธ์จัดการความเสี่ยง หรือ Risk Reward Ratio
การวางกลยุทธ์จำกัดความเสี่ยงเป็นแนวคิดที่สำคัญสำหรับนักลงทุนหรือนักเทรดที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดทางการเงินในระยะยาว โดยการมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนนั้น จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการขาดทุนและปกป้องเงินลงทุนของคุณจากความผันผวนของตลาดได้ ในเวลาเดียวกัน การกำหนด Risk Reward Ratio ที่ชัดเจนนั้น จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคำนวณกำไรสูงสุดเพื่อสร้างสมดุลความระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสมได้ และกลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์รักษาวินัยในการเทรดที่หลีกเลี่ยงการตัดสินใจตามอารมณ์ชั่วขณะได้ ดังนั้นก่อนทำการซื้อหรือขายสินทรัพย์ เทรดเดอร์จึงควรมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะต่อหน้าเทรดของคุณเองทุกครั้ง ไม่เช่นกันจะนำไปสู่การล้างพอร์ต หรือพอร์ตระเบิดได้
ยกตัวอย่างเช่น ในการเทรดแต่ละครั้ง แผนคือ ห้ามขาดทุนมากกว่า 5% ของพอร์ต นั่นแปลว่าเราต้องวางแผนการออก Size ของออเดอร์ให้ดีเพื่อที่จะเผื่อให้ราคาสวิงและให้จุด Cut Loss ของ Position นั้นคือ 5% ในขณะเดียวกัน ก็ควรวางแผนการ Take Profit ด้วยว่าจะเป็น % และเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของ Stop Loss
จากภาพด้านบน ในการเข้า Sell Position ของ Bitcoin ที่ 29412 Take Profit ที่ 27173.43 เพราะเป็นแนวรับเก่า และ Stop Loss ที่ 30103.33 หากคำนวณแล้ว นี่คือแผนเทรดที่มี Risk Reward Ratio อยู่ที่ 3:24 กล่าวคือ ถ้ายอม Drawdown ที่ 5% ของพอร์ตจากแผนข้างบน ดังนั้นแปลว่ากำไรของ Position ก็จะเป็น 5% * 3.24 = 16.2% กล่าวคือ ถ้าเทรดด้วยเงิน 100 ดอลลาร์ ถ้าแผนผิดจากที่คาด ออเดอร์นี้ จะเสีย 5 ดอลลาร์ แต่ถ้าแผนเป็นไปตามที่คาด ออเดอร์นี้ จะได้กำไรอยู่ที่ 16.2 ดอลลาร์นั่นเอง
อ่านวิธีการคำนวณและวางแผน Risk Reward Ratio อย่างละเอียดได้ที่ Here
4) เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และตอบโจทย์ความต้องการ
อีกปัจจัยที่เทรดเดอร์ห้ามมองข้ามเด็ดขาด คือการเลือกโบรกเกอร์ที่จะใช้เทรด โดยคุณจะต้องเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ มีค่าธรรมเนียมและคอมมิชชั่นที่สมเหตุสมผล ฝากถอนรวดเร็วสะดวกสบาย เป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตและตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เชื่อถือได้ และที่สำคัญคือต้องตอบโจทย์ความต้องการในการเทรดของคุณ เพราะการเลือกโบรกเกอร์ในการเทรดนั้นมีผลต่อความสำเร็จของเทรดเดอร์อย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเทรดสั้น และเทรดทุกวัน นอกจากปัจจัยเรื่องความน่าเชื่อถือแล้วนั้น คุณจำเป็นต้องหาโบรกเกอร์ที่มีค่าคอมมิชชั่นต่ำ เพื่อลดต้นทุนในการเทรดต่อวัน ในขณะเดียวกันหากคุณเทรดไม่บ่อย แต่ถือออเดอร์นานหลายวัน การพิจารณาเรื่อง Swap ก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึง เพราะนั่นคือค่าธรรมเนียมที่คุณจะต้องจ่ายในการถือสถานะข้ามคืน เป็นต้น
สามารถศึกษาและเปรียบเทียบโบรกเกอร์ได้ที่ Here
5) ฝึกฝน การเทรด ด้วยเงินเล็กให้เชี่ยวชาญ
การเทรดนั้นมีความเสี่ยง และต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝน กว่าจะสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง ดังนั้น หากเทรดด้วยเงินใหญ่ในขณะที่ยังไม่เชี่ยวชาญ กว่าจะสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ เงินอาจจะหมดก่อน และอาจหมดกำลังใจในการเทรดได้ ดังนั้นการฝึกเทรดด้วยเงินเล็กก่อน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียเงินจำนวนมากในระยะยาวได้ ดังนั้นในช่วงแรก คุณไม่ควรเล่นด้วยเงินที่มีขนาดเยอะเกินไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นใจในการเทรดของคุณ เมื่อคุณเรียนรู้ทักษะ ควบคุมอารมณ์ความโลภ ความกลัว และสามารถทำตามแผนได้อย่างต่อเนื่องแล้ว เมื่อนั้น คุณค่อยพิจารณาการเพิ่ม Position ได้ ดังคำที่ว่า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
6) มีวินัยและความอดทน ใน การเทรด
ในตลาดการเงิน สิ่งที่สำคัญจำเป็นอย่างมากในการที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ คือวินัยและความอดทน เพราะราคาของสินทรัพย์เสี่ยงนั้น ผันผวนอย่างรวดเร็ว และมีความเสี่ยงสมชื่อ ดังนั้น เทรดเดอร์มือใหม่จะมีความตื่นเต้นของกำไรที่ทำมาได้ในระยะสั้นๆหรือแม้แต่มีความเสียใจ โลภ และอยากเอาคืนเวลาที่เสีย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการมีแผนการและปฏิบัติตามแผนดังกล่าวอย่างมีวินัย และ ความอดทน
การมีวินัยในการเข้าออกออเดอร์ให้เป็นไปตาม Checklist ทุกอย่างที่เราแพลนมาแล้วนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว เพราะจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถโฟกัสแค่แผนการเทรดและป้องกันการตัดสินใจที่จากอารมณ์ที่อยู่นอกเหนือการแผนเทรด นั่นหมายความว่า แม้ว่าราคาจะวิ่งไปตรงกันข้ามกับแผนที่เราวางไว้ หากเรามีจุดเข้า จุดออก จุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนแล้วนั้น เราจำเป็นที่จะต้องทำตามแผน แม้ว่ามันจะฝืนใจตัวเองก็ตาม นอกจากนี้การอดทนรอจังหวะที่ดีที่สุดยังเป็นสิ่งสำคัญด้วย เพราะความสำเร็จในตลาดนั้นมาจากการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ และรอบคอบ
7) จดบันทึกและพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
ในตลาดการเงินที่มีความผกผันอยู่เสมอ คุณควรพยายามเพิ่มฐานความรู้ อัพเดตข่าวสารและแนวโน้มของตลาดอยู่เสมอ นอกจากนั้น การจดบันทึกข้อผิดพลาดและประวัติการซื้อขายของคุณเอง ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม
การเก็บบันทึกการซื้อขายของคุณช่วยให้คุณสามารถระบุข้อผิดพลาด และความสำเร็จในอดีตได้ หากเสีย เสียเพราะอะไร หากได้ ได้เพราะอะไร ซึ่งนั่นจะเป็นวิธีการที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจในการเทรดได้อย่างแหลมคมในอนาคตโดยไม่ผิดซ้ำจากผิดพลาดเดิมๆ นอกจากนี้ การปรับตัวและพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในการเทรด เนื่องจากเงื่อนไขของตลาด และสภาพตลาด เปลี่ยนแปลงเสมอ การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของคุณ ตามข้อมูลใหม่ๆ ช่วยให้คุณได้กำไรจากโอกาสและลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ ดังนั้นในการเทรด ก็เหมือนกับการทำธุรกิจ หรือการทำงานประจำ หากคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและผิดพลาดในอดีต ปรับปรุงแผน และคอยพัฒนาตนเองสม่ำเสมอเพื่อที่จะเอาชนะตลาดได้ระยะยาว
สรุป
หลายๆคนคิดว่าการเทรดเป็นวิธีทำเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย หวังรวยง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเทรดก็เหมือนงานอื่นๆ ที่ต้องฝึกฝน มีวินัย และคอยพัฒนาตัวเองอย่างเสมอ เพื่อที่จะพบกับความสำเร็จ การเทรดเพียงไม่กี่ครั้งแล้วหวังที่จะรวยคงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เว้นแต่ว่าคุณจะดวงดีจริงๆ ในชีวิตจริงคุณต้องพร้อมที่สละเวลาและความพยายามในการพัฒนาทักษะและความรู้อย่างเต็มที่ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดอย่างต่อเนื่อง จดบันทึกการเทรดในอดีต และปรับปรุงกลยุทธ์ตามประสบการณ์ที่เจอ
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดเข้าใจดีถึงความสำคัญของการมีแผนการเทรดที่ชัดเจนและปฏิบัติตามแผนนั้น ไม่ว่าจะเป็นมีจุดเข้า จุดออก หรือ Stop loss ที่ชัดเจนเพื่อที่จะทำตามแผนได้อย่างเคร่งครัดโดยปราศจากความโลภและความกลัว และแม้ว่าการเทรดอาจเป็นอาชีพที่มีความท้าทาย เสี่ยง และเครียด แต่ก็สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงลิ่วสำหรับผู้ที่มีความพร้อมที่จะใช้เวลาและความพยายามในการเรียนรู้และปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่หรือเทรดเดอร์มือเก๋าแล้ว ก็ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าการเทรดนั้นเป็นการเดินทางระยะยาวที่ต้องมีการฝึกฝน วางแผนให้รอบกุม และมีความมุ่งมั่นในการเทรดอย่างจริงจังเพื่อประสบความสำเร็จในระยะยาว