10 Price Patterns ที่พบบ่อยที่สุด จะมีทั้งรูปแบบการกลับตัว (Reversal) และ รูปแบบการเคลื่อนตัวแบบต่อเนื่อง (Continuation) ซึ่งPrice Patternsนั้นเป็นการอ้างถึงรูปแบบหรือลักษณะของราคาที่เกิดซ้ำๆจนเทรดเดอร์เชื่อว่าสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ รูปแบบเหล่านี้ถูกนำมาใช้โดยนักวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อคาดเดาทิศทางของราคาสินทรัพย์เนื่องจากมีจุดเข้าที่จัดเจน และนำไปใช้ได้ง่าย เทคนิคนี้จึงเป็นหนึ่งในเทคนิคยอดนิยมของเทรดเดอร์ บทความนี้ ChartTrail ได้รวบรวมPrice Patternsทั้งหมด 10 รูปแบบที่พบได้บ่อยดังนี้
1) Head and Shoulders
รูปแบบ Head and Shoulders หรือหัวและไหล่จะเป็นลักษณะคล้ายไหล่สองข้างหัวตรงกลางจะให้มองเป็นส่วนหัว เกิดขึ้นเมื่อราคาได้ปรับตัวขึ้นมา พยายามทำ Higher High แต่ไม่สำเร็จในครั้งที่ 3 จึงทำให้ภูเขาลูกแรก และลูกที่สาม มีขนาดใกล้เคียงกัน และเมื่อราคาไม่สามารถทำ Higher High ได้ จึงได้กลับตัวเป็นขาลง
จุดเข้า – Head and Shoulders Price Patterns
จุดเข้าที่นิยมเข้าคือ รอให้รูปแบบกราฟเฉลยออกมาเป็นแบบ Head and Shoulder และจะเข้า Position Sell/Short ในจุดที่หลุด Neckline ตามภาพด้านล่าง
2) Inverse Head and Shoulders
รูปแบบ Inverse Head and Shoulders หรือหัวและไหล่แบบกลับหัว จะเป็นลักษณะ Head and Shoulders แต่จะเป็นแบบกลับหัวนั่นเอง
จุดเข้า – Inverse Head and Shoulders Price Patterns
จุดเข้าที่นิยมเข้าคือ รอให้รูปแบบกราฟเฉลยออกมาเป็นแบบ Inverse Head and Shoulder และจะเข้า Buy/Long ในจุดที่ราคายืนเหลือ Neckline ตามภาพด้านล่าง
3) Double Tops
รูปแบบ Double Tops หรือแปลตรงตัวคือ หัวสองหัว จะมีลักษณะคล้ายภูเขาสองลูกที่มีขนาดหรือความสูงใกล้เคียงกัน จะเกิดในกราฟขาขึ้น ที่กราฟจะทำหัวที่เท่ากันและไม่ทำ Higher High เพื่อกลับตัวเป็นขาลง
จุดเข้า – Double Tops Price Patterns
จุดเข้าของ Double Tops มี 2 จุดนั่นคือ
1. เข้า Short/Sell ตรงจุดหัวของภูเขาลูกที่สอง แต่ในจุดนี้เทรดเดอร์จะต้องรับความเสี่ยงมากกว่า เพราะกราฟยังไม่เฉลยว่าจะเป็น Double Tops จริงๆหรือไม่ แต่ถ้าหากว่าเป็น Double Tops จริงๆ ก็จะเป็นจุดเข้าที่ได้ต้นทุนดีกว่าจุดที่รอให้หลุด Neckline
2. เข้า Short/Sell ตอนราคาหลุด Neckline
4) Double Bottoms
รูปแบบ Double Bottoms จะมีลักษณะคล้าย Double Tops เพียงแต่เป็นรูปแบบกลับหัวนั่นเอง จะเกิดได้กรณีที่กราฟลงมา แล้วทำ Low ที่เท่ากันสองอันเพื่อกลับตัวเป็นขาขึ้น
จุดเข้า – Double Bottoms Price Patterns
จุดเข้าของ Double Bottoms มี 2 จุดนั่นคือ
1. เข้า Long/Buy ตรงจุดต่ำสุดที่สอง ที่ Low มีราคาใกล้เคียงกับ Low ก่อนหน้า แต่ในจุดนี้เทรดเดอร์จะต้องรับความเสี่ยงมากกว่า เพราะกราฟยังไม่เฉลยว่าจะเป็น Double Bottoms จริงๆหรือไม่ แต่ถ้าหากว่าเป็น Double Bottoms จริงๆ ก็จะเป็นจุดเข้าที่ได้ต้นทุนดีกว่าจุดที่รอกราฟยืนเหนือ High ก่อนหน้า
2. เข้า Long/Buy ตอนราคายืนเหนือ High ก่อนหน้า
5) Cup and Handle
รูปแบบ Cup & Handle หรือแปลตรงตัวคือ แก้วและหูจับแก้ว ซึ่งจากชื่อก็จะเดารูปแบบของตัวกราฟได้ไม่ยาก ลักษณะของกราฟคือ ราคาจะปรับตัวขึ้นมาแล้วย้อยลงมาพักฐานในรูปแบบคล้ายๆถ้วย จากนั้นกราฟจะ Rebound กลับขึ้นไป Test ที่ High ก่อนหน้าแต่ยังไม่สามารถเบรก High ได้ ราคาจึงย้อยลงมาแล้วทำ Sideways Down ลักษณะคล้ายๆหูจับแก้วก่อนจะเบรก High ขึ้นไป
จุดเข้า – Cup and Handle Price Patterns
จุดเข้าของ Cup & Handle คือจุดที่ราคาเบรกหูจับขึ้นไปข้างบน ก็จะเป็น Position ที่สามารถเข้า Long/Buy ได้
6) Inverse Cup and Handle
รูปแบบ Inverse Cup & Handle ก็คือ Cup & Handle แบบกลับหัวนั่นเอง
จุดเข้า – Inverse Cup and Handle Price Patterns
จุดเข้าของ Inverse Cup & Handle คือจุดที่ราคาเบรกหูจับลงมา ก็จะเป็น Position ที่สามารถเข้า Short/Sell ได้
7) Rising Wedge
Rising Wedge จะมีลักษณะเป็นรูปคล้ายๆลิ่ม หรือ ปากนกที่จะยกปลายสูงสามเหลี่ยมขึ้น โดยจะเกิดขึ้นได้ในขาลง (Downtrend) และขาขึ้น (Uptrend) จุดประสงค์ก็เพื่อทำการพักตัวก่อนที่จะเลือกทางไปต่อ
จุดเข้า – Rising Wedge Price Patterns
Sell/Short เมื่อราคาหลุดกรอบ Trend Line ในกรณีเป็นขาลง หรือ Buy/Long เมื่อราคายืนเหนือ Trend Line ในการกลับตัวเป็นขาขึ้น
8) Falling Wedge
Falling Wedge จะมีลักษณะเป็นรูปคล้ายๆลิ่ม หรือ ปากนกที่จะดันปลายลง โดยจะเกิดขึ้นได้ในขาลง (Downtrend) และขาขึ้น (Uptrend) จุดประสงค์ก็เพื่อทำการพักตัวก่อนที่จะเลือกทางไปในขาขึ้น อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่ทฤษฎี เพราะในภาคปฏิบัติจริงๆแล้ว Falling Wedge ก็สามารถพบในได้ในกรณีที่ราคาพักตัว Sideways ก่อนที่จะลงเช่นกัน เพียงแต่ว่ารูปแบบที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้น สามารถพบได้บ่อยกว่าเท่านั้นเอง
จุดเข้า – Falling Wedge Price Patterns
Buy/Long เมื่อราคายืนเหนือเส้น Trend Line
9) Bullish Flag
Bullish Flag จะมีลักษณะคล้ายธง ซึ่งจะเกิดขึ้นในกราฟขาขึ้นที่ราคาได้ขึ้นมาแล้วมีการพักฐานอยู่ในกรอบที่หน้าตาจะคล้ายๆกับธง ซึ่ง Bullish Flag กับ กราฟรูปแบบ Wedge จะคล้ายๆกัน ต่างกันตรงที่ Flag นั้นจะเป็นเส้นเทรนด์ที่สมมาตร ไม่เหมือนกับ Wedge โดย Bullish Flag จัดเป็นหนึ่งใน Continutation Pattern คือราคาได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วพักฐาน ราคาก็จะขึ้นต่อนั่นเอง
จุดเข้า – Bullish Flag Price Patterns
Buy/Long เมื่อราคายืนเหนือเส้น Trend Line
10) Bearish Flag
Bearish Flag จะเกิดขึ้นในกราฟขาลงที่ราคาได้ลงมาแล้วมีการพักฐานอยู่ในกรอบที่แบบยก Low ยก High ซึ่ง Bearish Flag ก็คือรูปแบบ Bullish Flag แบบกลับตัวนั่นเอง โดย Bearish Flag จัดเป็นหนึ่งใน Continutation Pattern เช่นเดียวกับ Bullish Flag คือเมื่อราคาปรับตัวลงมาแล้วพักฐานในกรอบ เมื่อพักตัวเสร็จก็จะลงต่อนั่นเอง
จุดเข้า – Bearish Flag Pattern
Sell/Short เมื่อราคาหลุดเส้น Trend Line
สรุป 10 Price Patterns ที่พบบ่อยที่สุด
10 Price Patternsที่พบบ่อยที่สุด มักเกิดในช่วงราคากำลังปรับฐานเพื่อเลือกทาง ซึ่งPattern เหล่านี้จะสามารถช่วยให้เรานำไปคาดการณ์เพื่อวางแผนเทรดต่อได้ อย่างไรก็ตามPattern เหล่านี้ก็ไม่ได้การันตีว่ากราฟจะไปเป็นไปในทางนั้น 100% ดังนั้นการใช้ Indicator อื่นเข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วมก็จะสามารถช่วยเพิ่มน้ำหนักในการตัดสินใจแต่ละครั้งได้ด้วย เช่น การใช้ Volume หรือ RSI เป็นต้น นอกจากนี้เทรดเดอร์จำเป็นที่จะต้องมีแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อปกป้องต้นทุนและความเสียหายในกรณีที่Price Patternsไม่ได้เป็นไปตามแผน
นอกจากPrice Patternsเหล่านี้แล้วก็ยังมีPrice Patternsอีกมากมายซึ่ง ChartTrail ได้มีการนำPrice Patternsรูปแบบ Ascending และ Descending Triangle มาให้ศึกษากันในอีกบทความหนึ่งเช่นกัน