Leverage คือ อะไร
Leverage คือ เครื่องมือที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มกำลังในการเทรด ซึ่ง Leverage สามารถทำให้นักเก็งกำไรหรือนักลงทุน เทรดด้วยสถานะที่ใหญ่กว่าปริมาณเงินที่มีในบัญชีเทรด หมายความว่า Leverage ทำให้เราสามารถลงทุนด้วยเงินที่น้อยกว่ามูลค่าจริงของสินค้านั้นๆ ในขณะที่ผลตอบแทนจะถูกคำนวณด้วยมูลค่าเต็มของสินค้านั้น ด้วยลักษณะนี้จึงทำให้ Leverage คือหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาดทุน เพราะ การใช้ Leverage สามารถทำกำไรได้เร็วและมากกว่า การลงทุนปกติ
แต่แน่นอนว่าการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงย่อมมีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน เพราะ เมื่อเราขาดทุนก็จะถูกคำนวณด้วยมูลค่าเต็ม จึงทำให้มีโอกาสขาดทุนมากกว่าเงินที่ลงทุนไปเช่นกัน
Leverage ทำงานอย่างไร
ค่า Leverage จะถูกแสดงมาในรูปแบบของอัตราส่วน เช่น 1:100
1:100 มีความหมายว่า นักเก็งกำไร หรือ นักลงทุน สามารถลงทุน ในสินค้าที่มีมูลค่า $100 ด้วยเงิน $1
สมมุติวิธีการใช้ของ Leverage ที่ 1:100 สำหรับการเทรดมูลค่าของคู่เงินที่ $100,000ผู้ลงทุน สามารถ วางหลักประกัน หรือ Margin ด้วยเงิน แค่ $1,000 ก็จะสามารถลงทุนในคู่เงินที่มีมูลค่า $100,00ได้แล้ว
การปรับ Leverage
การปรับ Leverage คือ การปรับอัตราส่วนของ Leverage ที่สามารถ ปรับได้โดย ผู้ใช้ หรือ ระบบของโบรกเกอร์ ในส่วนนี้เราจะอธิบายถึงการปรับLeverageอัตโนมัติโดยระบบโบรกเกอร์
ซึ่งปริมาณอัตราส่วนของ Leverage และ เงื่อนไขในการปรับ จะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์ โดยทั่วไป Leverage จะถูกปรับ ตามสามเงื่อนไขหลักดังนี้ 1) อีควิตี้ (Equity) และ/หรือ ประเภทของบัญชีเทรด 2) ช่วงเวลาข่าวสำคัญ หรือ วันหยุดสุดสัปดาห์ 3) ประเภทของคู่เทรด
1) อีควิตี้ หรือ ประเภทของบัญชีเทรด
เงื่อนไขนี้ค่อนข้างจะเข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ขอยกตัวอย่างเพื่อขยายความให้กับการจำกัดอัตราส่วนของ Leverage ดังนี้
1.1) ตัวอย่างการจำกัดอัตราส่วนของ Leverage จาก Equity
Equity | Maximum Leverage |
---|---|
$1,000 – $4,999 | 1 : 2000 |
$5,000 – $29,999 | 1: 1000 |
$30,000 | 1: 500 |
1.2) ตัวอย่างการจำกัดอัตราส่วนของ Leverage ตามประเภทบัญชีเทรด
Account Type | Maximum Leverage |
---|---|
Standard Account | 1 : 3000 |
Standard Bonus Account | 1 : 1000 |
1.3) ตัวอย่างการจำกัดอัตราส่วนของ Leverage จาก Equity และ ประเภทบัญชีเทรด
Account Type | Equity (USD) | Maximum Leverage |
---|---|---|
Standard Account | $25 – $10,000 | 1 : 2000 |
$10,001 – $30,000 | 1 : 1000 | |
$30,001 – $50,000 | 1 : 500 | |
$50,001 – $75,000 | 1 : 400 | |
$75,001 – $100,000 | 1 : 300 | |
$100,001 – $200,000 | 1 : 200 | |
> $200,001 | 1: 100 | |
ECN Account | $100 – $20,000 | 1 : 500 |
$20,001 – $40,000 | 1 : 400 | |
$40,001 – $70,000 | 1 : 300 | |
$70,001 – $100,000 | 1 : 200 | |
> $100,001 | 1 : 100 |
2) ช่วงเวลาข่าวสำคัญ หรือ วันหยุดสุดสัปดาห์
ตามที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่า เงื่อนไขต่างๆจะขึ้นอยู่กับนโยบายของโบรกเกอร์ และ การปรับ Leverage นี้จะมีผลเฉพาะออเดอร์ใหม่ที่กำลังจะถูกเปิดในช่วงเวลาเหล่านี้เท่านั้น ซึ่งหัวข้อนี้จะเน้นถึง สองข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับการปรับค่า Leverage ตามเวลาช่วงประกาศข่าวสำคัญ หรือ วันหยุดสุดสัปดาห์
2.1) อัตราส่วนของ Leverage สำหรับ ออเดอร์ใหม่
เนื่องจากเวลาใกล้ตลาดปิดสัปดาห์ หรือ ช่วงเวลาตลาดเปิดสัปดาห์ รวมถึงการประกาศข่าวสำคัญ จะเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงต่อคู่เทรดต่างๆ ทำให้โบรกเกอร์เข้ามาควบคุมอัตราส่วนของ Leverageตรงนี้ ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์จะมีค่าอัตราส่วนที่ต่างกัน บางที่ อาจจะใช้ ค่าคงที่ หรือ ค่าที่ผันแปรไปตามเงื่อนไข อื่นๆ
2.1.1) Leverage คงที่
ตัวอย่างของLeverageคงที่ คือ การที่โบรกเกอร์จะกำหนดอัตราส่วนของ Leverage สูงสุดเป็นค่าคงที่ไว้ 1:200 หรือ 1:500 ในช่วงเวลาดังกล่าว
2.1.2) Leverage ที่ผันแปรไปตามเงื่อนไข
ตัวอย่างของ Leverage ที่ผันแปรไปตามเงื่อนไข คือ การที่โบรกเกอร์นำเงื่อนไขของ ปริมาณ Equity และ ประเภทบัญชีมาปรับแก้ Leverage ในช่วงข่าวสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น
- บัญชี Standard หากมี Equity ต่ำกว่า $10,001 จะถูกปรับ Leverage จาก 1:2000 ลดลงเป็น 1:500
- บัญชี Standard หากมี Equity อยู่ในระดับ $10,001 – $30,000 จะสามารถใช้ Leverage ตามปกติ ในกรณีตัวอย่างคือ สามารถใช้ 1:1000 ซึ่งเป็นค่าเดียวกันกับช่วงที่ไม่มีการประกาศข่าวสำคัญด้วย
2.2) ช่วงเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อ Leverage สำหรับ ออเดอร์ใหม่
นอกจากการทำความเข้าใจค่าอัตราส่วนของ Leverage แล้ว ช่วงระยะเวลาที่จะส่งผลกระทบให้ออเดอร์ใหม่ก็สำคัญเช่นเดียวกัน ซึ่งระยะเวลาจะแบ่งเป็น 4 ช่วงดังนี้
- ก่อนและหลังการประกาศของข่าวสำคัญ
ทางโบรกเกอร์จะกำหนดว่า Leverage จะถูกปรับสำหรับออเดอร์ที่มีการเปิดใหม่ภายใน 15 หรือ 5 นาทีก่อนการประกาศข่าวสำคัญ และ 5 หรือ 2 นาทีหลังประกาศข่าวสำคัญ
- ตลาดปิดก่อนสุดสัปดาห์ และ หลังตลาดเปิดจากสุดสัปดาห์
บางโบรกเกอร์จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับช่วงเวลาตลาดปิดและตลาดเปิด เพราะ ช่วงนี้มักจะมีความผันผวน หรือ สภาพคล่องที่ผิดปกติกว่าช่วงอื่น ซึ่งโดยทั่วไปทางโบรกเกอร์ จะกำหนดว่า Leverage จะถูกปรับใหม่สำหรับออเดอร์ที่มีการเปิดใหม่ภายใน 3 ชั่วโมง ก่อนตลาดปิด และ สำหรับออเดอร์ที่มีการเปิดใหม่ภายใน 1 ชั่วโมงหลังตลาดเปิด
ระยะเวลาเหล่านี้อ้างอิงมาจากบางโบรกเกอร์ และ เมื่อระยะเวลาเหล่านี้สิ้นสุดแล้ว Leverage สำหรับออเดอร์ที่เราเปิดในช่วงเวลานี้จะถูกปรับมาสู่ปกติ ข่าวที่สำคัญต่อคู่เงินสามารถตรวจสอบได้ที่ ปฎิทินเศรษฐกิจประจำสัปดาห์
3) ประเภทของคู่เทรด
ในบางคู่เทรดของแต่ละโบรกเกอร์จะไม่ได้ใช้ค่าLeverageตามที่กำหนดไว้ต่อระดับEquityสำหรับแต่ละประเภทบัญชีเทรด เพราะฉนั้นข้อนี้จึงเป็นหนึ่งในข้อที่ถูกมองข้ามเยอะที่สุด โดยส่วนมากแล้วโบรกเกอร์จะเรียกการคงระดับLeverageของแต่ละคู่เทรดไว้ว่า Margin Requirement ซึ่งเป็นหนึ่งในรายละเอียดที่เราสามารถดูได้จาก Contract Specifications บน MetaTrader Platform กลุ่มคู่เทรดที่จะมีค่า leverage คงที่ คือ กลุ่มดัชนี, พลังงาน และ คริปโต
สามารถอ่านวิธีการหา Contract Specifications ได้ในบทความ 4 ขั้นตอนการหา Forex Contract Size เพื่อตรวจสอบ Margin Requirement
Margin Requirement จะถูกกำหนดไว้เป็น เปอร์เซ็นต์ และสามารถคำนวณกลับมาเป็นอัตราส่วน Leverage ได้ตามสูตรนี้
หาก คู่เทรด มี Margin Requirement = 0.05% แสดงว่า อัตราส่วนของ Leverage คือ 1:2000
ความเสี่ยงและผลตอบแทนจาก Leverage
การใช้ Leverage สามารถช่วยให้ผู้ลงทุนเทรดได้ในปริมาณที่มากขึ้น หมายความว่าผู้ลงทุนสามารถเทรดปริมาณล็อตได้มากขึ้นเมื่อใช้ Leverage ที่สูงขึ้น
เมื่อผู้ลงทุนใช้ Leverage ที่สูงขึ้น ก็จะสามารถทำกำไรได้มากขึ้น ถ้าผู้ลงทุนเทรดในปริมาณล็อตที่มากขึ้น
ในทางตรงกันข้ามผู้ลงทุนก็จะสามารถขาดทุนได้มากขึ้นเช่นกัน จากการเพิ่มปริมาณล็อตที่มากขึ้น
การเทรดในปริมาณที่เท่ากัน แต่ใช้ Leverage ต่างกัน จะไม่มีผลต่างต่อกำไร/ขาดทุนเลยเพราะว่ามูลค่าของสินค้าอ้างอิงจะมีมูลค่าที่เท่ากันเนื่องจากปริมาณล็อตที่เท่ากัน แต่ผู้ที่ใช้ Leverage มากกว่าจะสามารถลงทุนด้วยMarginที่น้อยกว่าได้
โดยสรุป การใช้ Leverage มากขึ้นไม่ได้หมายความว่า ผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนหรือขาดทุนได้มากขึ้น แต่การใช้ Leverage ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเทรดในปริมาณที่มากขึ้นได้ ซึ่งปริมาณการเทรดคือสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผลตอบแทนโดยตรงเพราะ จำนวนล็อต ที่นำไปใช้คำนวณ มูลค่าการเคลื่อนที่ของราคา (Pip Value)