Skip to content 
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 1% ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ใกล้ “จุดสูงสุด”
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้น 1.25 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 81.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จุดสูงสุดของเซสชันอยู่ที่ 81.57 ดอลลาร์ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 1.5% สู่ระดับ 76.89 ดอลลาร์ เซสชันสูงสุดอยู่ที่ 77.13 ดอลลาร์ ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน
ข้อมูลในวันพุธแสดงให้เห็นว่าราคาผู้บริโภคของสหรัฐเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาและบันทึกการเพิ่มขึ้นประจำปีที่น้อยที่สุดในรอบกว่าสองปีเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลดังกล่าวทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (.DXY) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ซึ่งช่วยหนุนราคาน้ำมัน – John Kilduff ซึ่งเป็น Partner ของ Again Capital LLC ในนิวยอร์กกล่าว
“เรามีอัตราเงินเฟ้อต่ำมากในวันนี้” Phil Flynn นักวิเคราะห์จาก Price Futures Group กล่าว เขากล่าวว่าความกลัวที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ก่อให้เกิดความกดดันต่อราคาน้ำมัน
ตลาดคาดว่าจะขึ้นอีกเพียงครั้งเดียว โดยอัตราที่สูงขึ้นสามารถชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดความต้องการใช้น้ำมันได้
Craig Erlam นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ OANDA กล่าวว่าราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 11% ในสองสัปดาห์ โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการการผลิตจากผู้ผลิตชั้นนำของซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย
โครงสร้างสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ Brent มาตรฐานระดับโลกบ่งชี้ว่าตลาดกำลังตึงตัวและ OPEC อาจประสบความสำเร็จในภารกิจในการสนับสนุนตลาด
รายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เมื่อวันพฤหัสบดีคาดการณ์ว่าอุปสงค์ (Demand) น้ำมันจะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในวงกว้าง
นอกจากนี้ รายงานของ OPEC ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี รายงานว่าแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันโลกยังดีอยู่แม้ว่าเศรษฐกิจจะอ่อนแอก็ตาม เพิ่มการคาดการณ์การเติบโตในปี 2566 และคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวเพียงเล็กน้อยในปี 2567 โดยคาดว่า “จีน” และ “อินเดีย” จะขับเคลื่อนการขยายตัวของการใช้เชื้อเพลิงต่อไป
Source: CNBC
